เปิดตัวด้วยกระแสฉ่ำๆ ทั้งตัวเลขเรตติ้งและจำนวนผู้ชมออนไลน์สำหรับละครเรื่อง พรหมลิขิต ภาคต่อของละครยอดฮิต บุพเพสันนิวาส ด้วยตัวเลขเรตติ้งในอีพีแรกที่ 6.4 ก่อนพุ่งไปถึง 6.8 ในอีพีที่ 2 แล้วตกลงไปที่ 6.2 ในอีพี 3 ก่อนจะดีดกลับมาที่ 6.5 ในอีพีที่ 4 ยอดผู้ชมออนไลน์ทะลุล้านแทบทุกตอน (อีพี 3 ที่ 9.5 แสนคน) ติดอันดับ 1 บน Netflix ประเทศไทย และขึ้นเทรนด์ X (Twitter) ในทุกๆ อีพี เรียกได้ว่าเป็นละครที่เปิดตัวด้วยกระแสแรงแบบที่ไม่ได้เห็นมานานในละครทีวีไทย
ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่านี่คือผลพวงความสำเร็จจาก บุพเพสันนิวาส ที่สร้างปฏิกิริยาเร่งทั้งในแง่ความสำเร็จบนจอทีวี รวมทั้งผลักดันให้นวนิยายเรื่อง พรหมลิขิต ออกมาสู่ผู้อ่านอย่างรวดเร็ว
โดย รอมแพง ผู้ประพันธ์ ได้เขียนไว้ในบทนำว่า เรื่องราวภาคต่อของบุพเพสันนิวาส เธอตั้งชื่อและวางพล็อตเอาไว้ตั้งแต่ปี 2554 โดยตั้งใจให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด จึงลงเรียนปริญญาโททางด้านประวัติศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ตัดสินใจลาออกเพราะภารกิจรัดตัว จนกระทั่งละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงต้องเริ่มต้นเขียน พรหมลิขิต พร้อมโจทย์ที่จะถูกสร้างเป็นละคร โดยที่รูปร่างหน้าตาตัวละครหลักต้องมีความคล้ายคลึงกับนักแสดงชุดเดิม แปลว่าไม่มากก็น้อย นวนิยายเรื่องนี้มีความพร้อมที่จะสร้างเป็นละครก่อนจะเขียนเสร็จด้วยซ้ำ
ความจริงแล้ว พรหมลิขิต น่าจะออกมาสู่สายตาผู้ชมได้เร็วกว่านี้ หากไม่ติดสถานการณ์โควิดเสียก่อน โดยละครเรื่องนี้ได้เปลี่ยนผู้กำกับจากที่เคยวางตัว ภวัต พนังคศิริ มาเป็น สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร (พราวมุก (2564 ), ตราบาปสีชมพู (2561), หนี้รักในกรงไฟ (2562) และ ซ่อนเงารัก (2563) ฯลฯ) และใช้นักแสดงชุดเดิมเกือบทั้งหมด จนกระทั่ง พรหมลิขิต ออกสู่สายตาผู้ชมหลังจาก บุพเพสันนิวาส เป็นระยะเวลาร่วม 5 ปี
ความดีงามอย่างแรกของ พรหมลิขิต คือการเล่าถึงช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ไทยที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง นั่นคือสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทั้งในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์ปราสาททองที่เต็มไปด้วยตัวละครหลากสีสัน รวมไปถึงรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่แทบจะไม่เคยพูดถึงในหนังหรือละครไทย จุดประกายให้คนดูต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มอรรถรสให้ละคร ซึ่งสื่อเองก็พร้อมใจเล่าเรื่องราวเหล่านั้นจนกลายเป็นกระแสตื่นตัวทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่อีพีแรกเลยทีเดียว
ส่วนต่อมาคือ การเรียงลำดับและใช้นักแสดงชุดเดิมจาก บุพเพสันนิวาส เหมือนผู้จัดรู้ใจแฟนๆ ว่าตัวละครในเรื่องนี้เป็นที่รักของคนดู จึงอุทิศอีพีแรกและครึ่งหนึ่งของอีพีที่ 2 เล่าความเป็นไปหลังจากตอนจบของภาคแรกก่อนจะออกสตาร์ทเรื่องราวใหม่ รวมทั้งมู้ดแอนด์โทนของเรื่องก็เหมือนจะเอาใจแฟนคลับด้วยการหยอดมุกตลกทุก 2 นาที ถี่กว่า บุพเพสันนิวาส เสียอีก ส่วนทางด้านนักแสดงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่ขวัญ ‘โป๊ป-เบลล่า’ (โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ – เบลล่า-ราณี แคมเปน) มาแรงเกินต้าน ยากที่จะหาใครมาแทนได้ ทั้งที่รอมแพงเคยเสนอให้ กวาง-กมลชนก เขมะโยธิน และ ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา มารับบทการะเกดกับพี่หมื่นในเวอร์ชันสูงวัย แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่คู่ขวัญคู่เดิมที่ต้องเล่นถึง 3 บทบาทในเรื่องเดียว
ข้อดีคือ แฟนละครที่ชื่นชอบก็ได้ฟินกับนักแสดงที่ตัวเองรัก ส่วนข้อเสียที่ตามมาคือ ข้อจำกัดเรื่องบทอย่างที่รอมแพงเคยเล่าไว้ว่า นี่คือโจทย์ที่เคยคิดว่าง่ายแต่ยาก นำมาสู่ประเด็นถกเถียงบนโลกออนไลน์ว่าเราจะหลงรักคนที่หน้าตาเหมือนบุพการีตัวเองได้จริงๆ หรือ
ซึ่งในส่วนนี้คือการแก้โจทย์ของผู้ประพันธ์นิยาย เพื่อการให้หน้าตาของตัวละครใหม่คือพุดตาน มีความละม้ายกับเกศสุรางค์ โดยให้เป็นญาติห่างๆ กัน และหากจะย้อนเวลากลับไปช่วงที่ บุพเพสันนิวาส ฮิตสุดๆ ก็มีข่าวลือว่านางเอกใน พรหมลิขิต จะเป็นสาวเสพติดศัลยกรรม จึงทำให้หน้าตาไปคล้ายกับแม่หญิงการะเกด ซึ่งรอมแพงก็เคยคิดว่านี่เป็นหนึ่งทางเลือกอยู่เหมือนกัน
จุดนี้ก็น่าเสียดายว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ บุคลิกของพุดตานก็อาจจะแซ่บซ่ากว่าที่เราได้เห็นอยู่ในตอนนี้ เหมือนนางร้ายหลุดทะลุมิติเข้าไปในสมัยอยุธยา ทำให้เรื่องราวล้อไปกับ บุพเพสันนิวาส ที่ว่าด้วยนางเอกยุคปัจจุบันไปเข้าร่างนางร้ายในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม ฝีมือการแสดงของโป๊ป-เบลล่าเรียกได้ว่าดี สามารถแบ่งแยกบุคลิกตัวละครออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเบลล่าที่ออกแบบสีหน้าแววตาของแม่การะเกดและพุดตานให้ดูเป็นคนละคน แม้จะใช้นักแสดงคนเดียวกันก็ตาม
หลังจากที่ได้ดู พรหมลิขิต ออกอากาศมาแล้ว 4 อีพี ก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดี เป็นละครดูสนุก แต่ในขณะเดียวกันการเดินตามรอยความสำเร็จของ บุพเพสันนิวาส ก็ทำให้ยังขาดเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งหากให้เปรียบเทียบ บุพเพสันนิวาส ที่มีความสมบูรณ์มาตั้งแต่ฉบับนวนิยายด้วยเรื่องราวสาวอวบแห่งโลกปัจจุบันไปอยู่ในร่างสาวงามร้ายกาจแห่งอยุธยา นำมาซึ่งความเปิ่นโก๊ะและน่ารักน่าชัง แค่อ่านโครงเรื่องก็อาจจะตบเข่าฉาดว่าคิดได้อย่างไร แต่กับ ‘พรหมลิขิต’ ยังไปไม่ถึงความลงตัวแบบนั้น ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าเรื่องราวจะตรงกับใจของผู้ประพันธ์ที่ต้องการเล่าเรื่องราวความรักโรแมนติกย้อนยุคแบบบ้านๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
อีกเรื่องที่น่ายินดีคือ นานๆ ทีเราจะได้เห็นละครไทยที่มีโฆษณาเข้าแบบจุกๆ ทุกเบรกแบบนี้ ก็ถึงเวลาที่ช่อง 3 จะได้ตักตวงเม็ดเงินหลังจากซบเซามานานหลายปี จนไม่แปลกใจที่ละครเรื่อง พรหมลิขิต จะมีความยาวถึง 26 ตอน เฉลี่ยตอนละ 1.10 ชั่วโมง ในขณะที่ บุพเพสันนิวาส มีความยาวที่ 15 ตอน เฉลี่ยตอนละ 1.50 ชั่วโมง เมื่อมาบวกลบคูณหารแล้ว พรหมลิขิต ยาวกว่า บุพเพสันนิวาส อยู่เกือบ 3 ชั่วโมง โดยเดินเรื่องค่อนข้างช้ากว่า เนื้อหาสอดแทรกมุกตลกจนดูรุงรังเกินไป จนอาจกลับมาทำร้ายละครทั้งเรื่องได้เหมือนกัน
ใดๆ ก็ตามละครเรื่องนี้เป็นละครอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจเชียร์และลุ้นว่าจะสร้างสถิติได้เท่าใด ทำเรตติ้งตอนจบได้ที่ 18.6 แบบ บุพเพสันนิวาส ได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ นี่คือผลงานละครภาคต่อจากค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ที่ทำออกมาได้ดีกว่า แรงเงา 2 ไปมากทีเดียว
News
ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก เรียกแฟนๆ ขยี้ตากับลุคสุดฮอตของเธอตอนใส่บิกินี่เที่ยวทะเล
ถึงจะเพิ่งอินเลิฟ แต่สำหรับสาว ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ก็ไม่ได้มีเวลาให้แค่แฟนหนุ่มอย่าง นาย ณภัทร คนเดียว แต่มีเวลาให้เพื่อนเหมือนกัน และล่าสุด ใบเฟิร์น พร้อมกับผู้จัดการส่วนตัว และเพื่อนๆ ก็ได้จัดทริปกันไปเที่ยว โดยทางด้าน ใบเฟิร์น ที่ได้โพสต์ภาพกรุ๊ปช็อตกับเพื่อนๆ ถ่ายรูปเล่นกันที่ทะเล ซึ่งทริปนี้ถึงแม้จะไม่ได้เห็น ใบเฟิร์น ใส่บิกินี่เซ็กซี่แบบดาราสาวๆ หลายๆคน ในช่วงนี้ที่ขยันออกมาสลัดเสื้อผ้าท้าความร้อน แต่แค่ใส่วันพีซสีขาวเล่นน้ำทะเล แค่นี้ก็ถึงกับต้องขยี้ตารัวๆ แล้ว เพราะว่าน่ารักเซ็กซี่มาก…
ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก สวมชุดกรีดลึกที่หน้าอก ทำให้คนตาร้อน
ทำเอาอินสตาแกรมต้องไฟลุกอีกคนแล้ว สำหรับนางเอกสาว ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ที่มาพร้อมกับความเซ็กซี่ขยี้หัวใจจนเบรกไว้ไม่ไหวจริงๆ ล่าสุด ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ได้สวมใส่เดรสสั้นสีแดงสด เปิดให้เห็นเนินอกแบบกรุบๆ เผยความขาวเนียนผ่องอมชมพูของผิวสวย ที่ไม่ว่าจะมององศาไหนก็แซ่บไปหมด งานนี้แฟนๆ ต่างก็เข้ามากระหน่ำไลก์กันอย่างรัวๆ ทั้งยังบอกด้วยว่า ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลุคนี้ดาเมจเกินต้านมาก ทั้งสวย ทั้งแซ่บ อะไรมาต้านก็ไม่อยู่แล้วจ้า
ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก โชว์หุ่นแซ่บเมื่อสวมเดรสเกาะอกรัดรูป
นับวันยิ่งสวยจริงๆ สำหรับ ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ เรียกว่าไปไหนก็มีแต่คนทักช่วงนี้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะมีความรักที่ดีด้วยหรือเปล่า ดูมีออร่าสมกับคนกำลังอินเลิฟ โดยล่าสุด ใบเฟิร์น ได้โพสต์ภาพสวยใส่ชุดเดรสเกาะอกรัดรูปสีฟ้า นอกจากโพสท่าถ่ายรูปหลายช็อตแล้ว ก็ยังมีคลิปด้วย เรียกว่าสวยดาเมจรุนแรงมาก ใบเฟิร์น สวยทะลุจอออกมาเลย แถมหุ่นสับมากจ้า ขนาดเพื่อนดาราด้วยกันยังข้ามาคอมเมนต์ เช่น ปันปัน สุทัตตา ที่เข้ามาคอมเมนต์ว่า ‘กินอะไรเป็นอาหารคะ’,จีน่า เดอะเฟซ คอมเมนต์ว่า ‘ส๊วย!’ รวมถึงแฟนๆ ที่เห็นก็ต้องเข่ามาชมความสวยของ…
นางฟ้าชัดๆ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” ลุคนี้! สวมเสื้อกล้าม-กางเกงขาสั้น รดน้ำต้นไม้
ถึงสเตตัสหัวใจจะไม่ใช้คำว่า ‘โสด’ แต่ก็ยังคงทำให้แฟนคลับ ‘หวั่นไหว’ ได้ตลอด…ตลอด สำหรับ ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ นางเอกซุปตาร์ วัย 30 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอลเลคชั่นภาพถ่ายเซ็ตล่าสุด! ที่เจ้าตัวนำมาเสิร์ฟให้แฟนๆ ได้ส่องกันแบบจุใจผ่านอินสตาแกรม @baifernbah ขณะใช้เวลาในช่วงวันหยุดพักผ่อนรดน้ำต้นไม้ดูแลสวนสวยภายในรั้วบ้าน ทั้งนี้ก็เพราะไม่เพียงแต่โพสต์กล่าวจะเผยให้เห็นอีกโหมดความละมุนของ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ในลุคเบาๆ สบายๆ สวมเพียงเสื้อกล้ามตัวจิ๋ว กับกางเกงยีนส์ขาสั้น อวดผิวขาวออร่าเต็มเฟรมเท่านั้น แต่ทว่าลีลาท่วงท่าในการรดน้ำต้นไม้ของเจ้าตัว รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ…
ส่องลุคการแต่งตัว ‘เบลล่าราณี’ นักแสดงที่ดูสง่างามและเสน่ห์
เบลล่าราณี เธอเป็นนักแสดงแล้วก็นางแบบที่หลายๆคนก็ต่างรู้จักเธอเพราะเธอนั้นมีผลงานมาอย่างมากมายในวงการ และเนื่องจากเธอเป็นนางแบบด้วยเธอยังมีสไตล์การแต่งตัวที่น่าสนใจงั้นเราไปดูสไตล์การแต่งตัวของเธอกัน แนวแรกก็จะเป็นแนวสวยแซ่บโดยที่เธอนั้นจะสวมเป็นเดรสเกาะอกยาวสีแดงซึ่งบริเวณด้านบนของเกาะอกนั้นก็จะมีเพชรใหญ่ๆตรงกลางส่วนตัวเดรสที่เป็นสีแดงนั้นก็มีลวดลายเล็กๆน้อยๆทำให้มีลูกเล่นและดูโดดเด่นมากขึ้น ดูสวยดูแซ่บทำให้คุณเบลล่านั้นดูมีเสน่ห์มาก ต่อไปก็จะเป็นแนวน่ารักๆที่เธอจะแต่งเป็นชุดเดรสสายเดี่ยวสีฟ้าซึ่งชุดนี้มีลูกเล่นตรงบริเวณด้านล่างของตัวเดรสนั้นก็จะเป็นกระโปรงหลายชั้นส่วนตัวด้านบนนั้นก็จะเป็นสายเดี่ยวที่มีลายพาดชุดนี้ทำให้คนเบลล่าดูน่ารักดูสดใสมากๆเลย ต่อไปก็จะเป็นแนวที่คุณเบลล่าแต่งเป็นชุดจีนโบราณซึ่งบอกได้เลยว่าชุดนี้ดูโดดเด่นเป็นสง่ามากชุดนี้เป็นชุดสีแดงคล้ายๆกี่เพ้าจะมีลวดลายสีเหลืองทองปักอยู่มากมายตามชุดและที่เด่นที่สุดเลยก็คือเครื่องหัวของคุณเบลล่านั่นเองบอกได้เลยว่าอลังการมากและดูสวยงาม แนวนี้ทำให้คุณเบลล่าดูหน้าดึงดูดมากๆ ต่อไปแนวที่คุณเบลล่านั้นแต่งชุดกิโมโนของญี่ปุ่นนั่นเองโดยที่ชุดกิโมโนนั้นก็จะมีหลากหลายลายอย่างมากรวมถึง ลายที่ดูงดงามอย่างลายดอกไม้ที่บริเวณด้านล่างของชุดกิโมโนนั้นดูสวยดูสง่ามาก ชุดกิโมโนของคุณเบลล่านั้นจะเป็นสีฟ้าสดใสทำให้ดูโดดเด่นตัดกับลายที่อยู่บนผ้ากิโมโน เราได้เห็นคุณเบลล่าแต่งทั้งชุดจีนโบราณแล้วก็ชุดของญี่ปุ่นไปแล้วงั้นเรามาดูคุณเบลล่าใส่ชุดไทยกันเลยแนวนี้ก็จะเป็นแนวที่เธอนั้นใส่ในการแสดงเรื่องบุพเพ ก็จะเป็นสไบยาวสีเขียวส่วนเสื้อที่สวมใส่นั้นก็จะเป็นสีเขียวเข้มแถมยังใส่โจงกระเบนที่เป็นสีเขียวมืดๆแล้วก็บริเวณตรงโจงกระเบนนั้นมีปลายที่เป็นสีเขียวอ่อนอยู่ทั่วโจงกระเบน พรุ่งนี้เป็นลุคที่คุณเบลล่าดูเหมาะมากเนื่องจากตัวชุดที่ทำให้คุณเบลล่าดูดีดูแมทช์กันมีเสน่ห์อย่างมาก สิ่งที่เราชื่นชอบในตัวคุณเบลล่านั้นก็คือเธอนั้นมีหน้าตาที่ค่อนข้างสวยสง่าแต่งตัวได้หลายแนวและมีความน่ารักน่าเอ็นดูแล้วก็เป็นกันเองอย่างมาก ผลงานที่เราชอบก็คือบุพเพสันนิวาสนั่นเองเราชอบที่คุณเบลล่านั้นรับบทเป็นแม่การะเกดเป็นการนำความคิดสมัยใหม่มาใช้ในยุคโบราณได้อย่างดีและเรื่องนี้ก็ยังกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของประเทศไทยด้วยซึ่งคุณเบลล่านั้นก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีทำให้คนดูหรือแฟนคลับอย่างเราๆเนี่ยต่างชื่นชอบละครเรื่องบุพเพสันนิวาสมากๆเลย สำหรับใครที่ชื่นชอบคุณเบลล่าราณีไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัวไลฟ์สไตล์หรือว่าชื่นชอบผลงานของเธอก็สามารถติดตามเธอได้ที่ instagram ส่วนตัวแล้วก็อย่าลืมรอติดตามผลงานใหม่ๆของคุณเบลล่าได้เรื่อยๆอีกด้วย
ส่องภาพความน่ารักของเบลล่า ราณี แคมเปนและคุณแม่ปราณี
หากพูดถึงเบลล่า ราณี แคมเปน ทุกคนคงนึกถึงว่าเบลล่าคือนักแสดงสาวช่อง 3 แสนสวยและสง่า ที่ตอนนี้กำลังถ่ายทำละครเรื่องใหม่ ‘พรหมลิขิต’ ร่วมกับพี่โป๊ป ซึ่งเป็นภาคต่อของละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ แสนโด่งดังเมื่อ ปี 2561 แต่สำหรับบทความนี้แล้ว เราขอชวนเพื่อนๆ มาดูความน่ารักและสดใสของเบลล่ากับคุณแม่ปราณี คุณแม่ของเบลล่าจากอินตราแกรม bellacampen กันค่ะ นอกจากนี้ยังมีภาพคู่แม่ลูกที่พากันไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อีกด้วยอย่างภาพนี้ เบลล่าพาคุณแม่ไปอุทยานแห่งชาติภูลังกา ได้เห็นความแข็งแรงของทั้งคุณแม่และคุณลูกเลยล่ะค่ะ เพราะเห็นว่ากว่าจะขึ้นไปถึงถ้ำนาคี ถ้ำนาคาต้องเดินไปเป็นกิโลเมตรเลย แถมบางพื้นที่ยังไม่ใช่พื้นดินราบเรียบอีกด้วย…
End of content
No more pages to load